วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

จังหวัดอำนาจเจริญ

จังหวัดอำนาจเจริญ
ตราประจำจังหวัด

พระมงคลมิ่งเมืองเป็นพระประธานของภาพ แสงฉัพพรรณรังสี เปล่งรัศมีโดยรอบพระเศรียรซ้ายขวามีต้นไม้อยู่สองข้าง ถัดไปเป็นกลุ่มเมฆ ด้านล่างเป็นแถบป้ายชื่อจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ใช้อักษรย่อว่า อจ.
วิสัยทัศน์จังหวัดอำนาจเจริญ
ประชาสังคมเข้มแข็ง แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดี
มีโอกาสทางการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิต

คำขวัญ ประจำจังหวัดอำนาจเจริญ
พระมงคลมิ่งเมือง แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เทพนิมิตพระเหลา
เกาะแก่งเขาแสนสวย เลอค่าด้วยผ้าไหม ราษฎร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม

พระมงคลมิ่งเมือง
เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีสรรพอาถรรพ์ เป็นมิ่งมงคลควรแก่การเคารพบูชาแก่ปวงชนทั่วไป เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำนาจเจริญโดยแท้ ประดิษฐานอยู่ที่เขาดานพระบาทซึ่งเป็นที่ตั้งพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์มาแต่ดึกดำบรรพ์ อยู่ติดถนนสายชยางกูรเส้นทางอำนาจเจริญ-มุกดาหาร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๒ กิดลเมตร บริเวณโดยรอบตกแต่งเป็นพุทะมณฑลสำหรับเป็นที่บำเพ็ญ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ
การก่อตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ ได้มาจากการรวมอำเภอด้านเหนือของจังหวัดอุบลราชานี ที่มาจากชาวลุ่มน้ำต่างๆ ๗ ลุ่มน้ำ ได้แก่ ชาวลุ่มน้ำโขง -อำเภอชานุมาน ชาวลุ่มน้ำละโอง-อำเภอเสนางคนิคม ชาวลุ่มน้ำพระเหลา-อำเภอพนาชาว ลุ่มน้ำห้วยยาง-อำเภอปทุมราชวงศา ชาวลุ่มน้ำเซบก-อำเภอลืออำนาจ ชาวลุ่มน้ำเซบาย-อำเภอหัวตะพาน ชาวลุ่มน้ำห้วยปลาแดกและเซบาย-อำเภอเมืองอำนาจเจริญ ทั้ง ๗ อำเภอล้วนมีประเพณี วัฒนธรรม มีแหล่งโบราณคดีด้านศาสนาและศิลปกรรมมาแต่ครั้งอดีตกาล และต่อนี้ไป ประชาชนชาวเจ็ดลุ่มน้ำเหล่านี้จะผนึกกำลังกันพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญให้เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต

งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์
อำนาจเจริญมีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญและมีชื่อเสียงโด่งดังคือ ถ้ำแสงแก้วและถ้ำแสงเพชร ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาเดียวกัน เป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่ามีเทพศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปที่สวยงาม นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศต่างมุ่งหน้าไปขอพรและปฏิบัติธรรมมิได้ขาด

เทพนิมิตพระเหลา
หมายถึงพระเหลาเทพนิมิต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีลักษณะงดงามเป็นเลิศ ประดิษฐานอยู่ในวัดพระเหลาเทพนิมิต อำเภอพนาซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอำนาจเจริญ "พระเหลา" เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มาก และจัดว่างดงามที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเชื่อว่าเทพยดาเป็นผู้นิมิตขึ้นมา มีตำนานสร้างมาหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนทั่วไป

เกาะแก่งเขาแสนสวย
ที่สุดแดนของจังหวัดอำนาจเจริญด้านอำเภอชานุมาน มีแม่น้ำโขงกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีเกาะ แก่งที่สวยงาม มีภูเขาและป่าไม้กลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาต ิผู้คนสามารถไปเที่ยวชมและพักผ่อนได้ทุกฤดูกาล ผู้ใดได้ไปพบเห็นความสวยงามตามธรรมชาติแห่งนี้แล้วดุจดังต้องมนต์ขลังยากที่ลืมเลือน

เลอค่าด้วยผ้าไหม
ชาวอำนาจเจริญทุกอำเภอล้วนมีวัฒนธรรมการทอผ้า ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย และผ้าลายขิดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่มีชื่อเสียงมากได้แก่การทอผ้าไหมบ้านเปือย อำเภอลืออำนาจ ผ้าไหมบ้านสร้อย-บ้านจานลาน อำเภอพนา การทอผ้าลายขิดบ้านคำพระ อำเภอหัวตะพาน โดยเฉพาะผ้าไหมบ้านเปือย ได้รับยกย่องจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถว่าเป็นผ้าไหมที่งดงามล้ำเลอค่าและมีคุณภาพดีกว่าถิ่นใดๆ พระองค์ทรงกำหนดราคาขายไว้ให้อย่างเป็นธรรมโดยไม่ให้เอาเปรียบผู้ผลิตด้วย

ราษฏร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม
ชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อทางศาสนา มีความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาที่ตนนับถือ มีวัดให้ประกอบศาสนกิจทุกหมู่บ้าน ทวยราษฏร์เป็นคนดีมีคุณธรรม สังคมอำนาจเจริญอยู่กันด้วยความสุขสงบร่วมเย็น


....ที่มาของข้อมูล นางผกาวลี คุณสัตย์ อาจารย์ ๓ โรงเรียนอนุบาลลืออำนาจ......

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาเมืองอำนาจเจริญ

           เมื่อวันอังคาร ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 จุลศักราช 2410  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านค้อใหญ่ (ปัจจุบันในท้องที่อำเภอลืออำนาจ) ขึ้นเป็นเมืองใช้ชื่อว่า เมืองอำนาจเจริญ”  เมืองอำนาจเจริญจึงได้รับการสถาปนาเป็นเมือง  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยขึ้นกับบังคับยัญชาต่อเจ้าเมืองเขมราฐธานี มีท้าวจันทบุรม (เสือ) บุตรชายของพระเทพวงศา (ท้าวบุญสิงห์เจ้าเมืองเขมราฐธานี ซึ่งเป็นหลานของพระวอ เจ้าเมืองอุบลราชธานีเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีเป็นเจ้าเมืองอำนาจเจริญคนแรกมียศเป็น พระอมรอำนาจตันสกุลอมรสิน ตามประวัติศาสตร์เมื่อครั้งตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานี ตอนหนึ่งกล่าวว่า
 “ด้วยระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ผ่านภิภพกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระปทุม เป็น พระปุมวรราชสุรยสงศ์ ครองบเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราชเศกให้ ณ วันจันทร์ เดือน 8 แรม 13 ค่ำ จุลศํกราช 1154 ปีชวด จันวาศก
กาลเวลาล่วงไปเป็นเวลาช้านานจนกระทั่งถึงสมัยพระเทพวงศา (บุญเฮ้า) ซึ่งมีบุตร 2 คน คือ ท้าวบุญสิงห์ และท้าวบุญชัย เมื่อพระเทพวงศา  (บุญเฮ้า) ผู้เป็นบิดาถึงแก่อนิจกรรม  จึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวบุญสิงห์ เป็นพระเทพวงศา เป็นเจ้าเมืองเขมราฐแทนบิดา
พระเทพวงศา (บุญสิงห์) มีบุตร 2 คน คือ ท้าวพ่วย และท้าวจันทบุรม (เสือ)  สมัยที่พระเทพวงศา (บุญสิงห์) เป็นเจ้าเมืองเขมราฐนี้ ได้มีใบบอกกราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้ง บ้านค้อใหญ่ขึ้นเป็นเมือง  ขอพระราชทานตั้ง ท้าวจันบุรม (เสือ) ผู้เป็นบุตร เป็น พระอมรอำนาจ เป็นราชตระกูลอมรสิน ในปัจจุบัน) เจ้าเมืองขอตั้งท้าวบุต เป็นอุปฮาด     ท้าวสีหราชเป็นราชวงศ์และท้าวสุริโย เป็นราชบุตร จึงมีพรบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานอนุญาตตามที่ขอ  และพระราชทานนามเมืองที่ตั้งใหม่ตามนามของพระอมรอำนาจว่า เมืองอำนาจเจริญ ตั้งแต่พุทธศักราช 2410 เป็นต้นมา
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้เปลี่ยนแปลงระบบการ      ปกครองโดยการปฏิรูปการปกครองให้เข้าสู่ระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบยุโรปตามแบบสากล เป็นเทศาภิบาลเมื่อพุทธศักราช 2429 ถึง พุทธศักราช 2445 โดยยกเลิกการปกครองแบบเดิมที่ให้มีเจ้าเมือง พระอุปราชราชวงศ์ และราชบุตร ที่เรียกว่าอาญาสี่ 1 นับแต่ปีพุทธศักราช 2429  โดยยกเลิกการปกครองแบบเก่า คือ ยกเลิกตำแหน่งอาญาสีสืบสกุลในการเป็นเจ้าเมืองนั้นเสีย จัดให้ข้าราชการจากราชสำนักในกรุงเทพมหานครมาปกครอง  เปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้ผกครองจากเจ้าเมือง มาเป็นผู้ว่าการเมืองแทนและปรับปรุงการปกครอง หัวเมือมณฑลอีสานจึงยุบเมืองเล็กเมืองน้อยรวมเป็นเมืองใหญ่ ยุบเมืองเป็นอำเภอ เช่น เมืองเขมราฐธานี  เมืองยศ(ยโสธร) เมืองหยาด (มหาชนะชัย) เมืองลุมพุก (คำเขื่อนแก้ว) เมืองขุหลุ (ตระการพืชผล) เมืองอำนาจเจริญไปขึ้นการปกครองกับจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  อำเภออำนาจเจริญจึงได้แต่งตั้งนายอำเภอปกครองนายอำเภอคนแรก คือ รองอำมาตย์ดทหลวงเอนกอำนาจ (เป้ย  สุวรรณกูฏ) พุทธศักราช 24552459 ต่อมาประมาณพุทธศักราช 2459 ย้ายจากที่เดิม (บ้านค้อ บ้านอำนาจ อำเภอลืออำนาจในปัจจุบัน) มาตั้ง ตำบลบุ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองในปัจจุบัน ตามคำแนะนำของพรยาสุนทรพิพิธ เมืองครั้งดำรงตำแหน่งเลขามณฑลอีสาน  ได้เดินทางมาตรวจราชการโดยใช้เกวียนเป็นพาะนมีความเป็นว่าหากย้ายอำเภอมาตั้งใหม่ที่บ้านบุ่ง ซึ่งเป็นชุมชนและชุมทางสี่แยก ระหว่างเมืองอุบล มุกดาหาร  และเมืองเขมราฐ เมืองยศ (ยโสธร) โดยคาดว่าจะมีความเจริญยิ่งขึ้นในอนาคต  โดยใช้ชื่อว่า อำเภอบุ่ง (เสนอแนะย้ายพร้อมกับอำเภอเดชอุดม  ย้ายจากเมือง  ขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) มาขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี)  และยุบเมืองอำนาจเจริญเดิมเป็นตำบลชื่อว่า ตำบลอำนาจเจริญ  ซึ่งชาวบ้านขอบเรียกว่า เมืองอำนาจน้อย อยู่ในเขตท้องที่อำเภอลืออำนาจในปัจจุบัน ต่อมาในปีพุทธศักราช 2482 จึงเปลี่ยนชื่อจาก อำเภอบุ่งเป็นอำเภออำนาจเจริญ ขึ้นการปกครองกับจังหวัดอุบลราชธานี

 ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ พุทธศักราช 2536  ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2536  ตรงกับวันพุธ แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีระกา  ได้ยกฐานะอำเภออำนาจเจริญ  เป็นจังหวัดอำนาจเจริญ  โดยให้แยกอำเภออำนาจเจริญ   (อำเภอลืออำนาจในปัจจุบัน)) รวม 6 อำเภอ และ 1 กิ่งอำเภอ  โดยแยกออกจากการปกครอง จังหวัดอุบลราชธานี  รวมกันขึ้นเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 456 เล่ม 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2536

ข้อมูลทั่วไป

ข้อมูลทั่วไป

           จังหวัดอำนาจเจริญ  ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทยระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครโดยรถยนต์ประมาณ 568 กิโลเมตร  มีพื้นที่การปกครองทั้งสิ้น 3,161,25 ตารางกิโลเมตร   หรือ 1,975,780 ไร่
ทิศเหนือ ติดกับอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร และอำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
ทิศตะวันออก ติดกับ  ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตประชาชนลาว ตามแนวฝั่งแม่น้ำโขง ด้านอำเภอชานุมาน   เป็นระยะทาง 38 กิโลเมตรและติดจังหวัดอุบลราชธานี
ทิศใต้ ติดกับ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
ทิศตะวันตก ติดกับ อำเภอป่าติ้ว และอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร


สภาพภูมิอากาศ
 จังหวัดอำนาจเจริญมีลักษณะภูมิอากาศแบบ Tropical Savannah คือ  จะเห็นความแตกต่างของของฤดูฝนและฤดูแล้งอย่างชัดเจน  มีช่วงกลางวันยาวในฤดูร้อน และมีอุณหภูมิสูงตลอดปี   สภาพภูมิอากาศแบ่งออกเป็น 3 ฤดู
 ฤดูฝน    เริ่มตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึงเดือน ตุลาคม
 ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน  ถึงเดือน มกราคม
 ฤดูร้อน   เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือน เมษายน

สภาพเศรษฐกิจ
โครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นกับการเกษตรกรรม  มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร รวมทั้งสิ้น 1,021,798 ไร่  หรือประมาณร้อยละ 51.72 ของเนื้อที่ทั้งหมด
การทำนา พื้นที่นาถือครองมีสัดส่วน 869,574 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 85.10 ของพื้นที่ถือครองทำการเกษตร เป็นพื้นที่เก็บเกี่ยว 558,530 ไร่ ผลผลิตรวมประมาณ 83,821 ตัน
การปลูกพืชไร่ มีการปลูกพืชไร่รวมพื้นที่ประมาณ 7,825 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 7.65 ของพื้นที่ถือครองทำการเกษตร
พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง ปอแก้ว ถั่วลิสง การอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว และอุตสาหกรรมในครัวเรือน

ลักษณะภูมิประเทศ
 โดยทั่วไปจังหวัดอำนาจเจริญเป็นที่ลุ่มมีเนินเขาเตี้ย ๆ ลักษณะเป็นดินร่วมปนทราย  และดินลูกรังบางส่วน

สภาพภูมิศาสตร์อำนาจเจริญ
จังหวัดอำนาจเจริญมีลำน้ำที่สำคัญไหลผ่าน 3 สาย คือ
1. แม่น้ำโขง
2. ลำเสบก
3. ลำเซบาย

อุตสาหกรรมในครัวเรือน
การทอผ้าลายขิด จังหวัดอำนาจเจริญมีกลุ่มตรีทอผ้าขิดเคยได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดังที่ 2 ในการประกอบผ้าฝ้าย ลายขิด งานศิลปชีพบางไทร ครั้งที่ 10

           สินค้าที่ผลิต คือ หมอนขิด  ผ้ารองจาน / รองแก้ว ผ้าขาวม้า  ผ้าสไบ ผ้าคลุมไหล่ ย่าม แต่ละปีจะมีระยะเวลาการผลิต 9 เดือน


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

ประเพณีวัฒธรรมประจำจังหวัดอำนาจเจริญ

ประเพณีวัฒธรรมประจำจังหวัดอำนาจเจริญ

ชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีวิถีชีวิตอยู่บนพื้นฐานความเชื่อทางพุทธศาสนา ผีสาง เทวดา  และธรรมชาติ อย่างผสมกลมกลืน  ประเพณีและวัฒนธรรมที่ปรากฎทั้งในด้านจิตใจ วัตถุและพิธีกรรมยังเป็นไปตามประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอัสานทั่วไป  คือมี ฮีตสิบสองคองสิบสี่”  ซึ่งยึดถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
ฮีตสิบสอง คือ การทำบุญในรอบปี มี 12 เดือน ได้แก่
เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม เป็นการทำบุญให้พระภิกษุที่ต้องอาบัติ
เดือนยี่ บุญคูณลาน  เป็นการทำบุญขวัญข้าวที่นวดเสร็จแล้ว
เดือนสาม บุญข้าวจี่  คือ การจี่ข้าว (ปิ้ง) ถวายพระสงฆ์
เดือนสี่ บุญพระเวส คือ การทำบุญเทศน์มหาชาติ
เดือนห้า บุญสรงน้ำ  คือ งานสงกรานต์
เดือนหก บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีขอฝน
เดือนเจ็ด บุญชำระบำเบิก เป็นการล้างเสียดจัญไรต่าง ๆ
เดือนแปด บุญเข้าพรรษา คือ งานแก่เทียนเข้าพรรษา
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญในวันแรกสิบสี่ค่ำเดือนเก้า
เดือนสิบ บุญข้าวสาก เป็นการทำบุญถวายสลากภัต
เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา  คือ งานต้นดอกผึ้ง ไหลเรือไฟ แข่งเรือ
เดือนสิบสอง บุญกฐิน  บุญผ้าป่า และงานลอยกระทง

เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม
 เป็นพิธีกรรมที่พระภิกษุหาทางออกจากอาบัติ พระภิกษุเป็น ผู้ประกอบพิธี พระภิกษุจะเข้าอยู่ในเขตจำกัด แล้วรักษากายและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ พร้อมทั้งถือว่า เข้ากรรมเป็นการทดแทนคุณมารดา เพราะว่าเมื่อมารดาชาวอีสานคลอดบุตรต้องอยู่กรรม หรืออยู่ไฟ บางท้องถิ่นเรียกการเข้ากรรมว่า การเข้าปริวาสกรรมใช้เวลาทั้งสิ้น ๙ คืน ปัจจุบันการทำบุญเข้ากรรม จะนิยมทำที่วัด โดยจะมีการกำหนดวันทำบุญเข้ากรรม ตามความพร้อมของแต่ละท้องที่ เช่น อำเภอพนา จัดงานปริวาสกรรม วันที่ ๒๐-๓๐ ธันวาคม ของทุกปี ณ วนอุทยานดอนเจ้าปู่ (ดอนลิง) วันที่ ๕-๑๔ มกราคม ของทุกปี วัดฤกษ์อุดม ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จัดงานเข้ากรรม โดยมีพระสงฆ์จากทั่วทุกสารทิศ และมีชาวบ้านที่รู้ข่าวและมีศรัทธา มาบวชชีพราหมณ์ ชาวบ้านที่ติดภาระก็จะมาร่วมทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า และมาฟังเทศนาธรรม ณ ลานธรรม ในช่วงเย็น มีน้ำสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น น้ำมะตูม น้ำขิง มาไว้ให้บริการกับผู้มาร่วมงาน 


เดือนยี่ บุญคูนลาน
หลังจากนวดข้าวเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะกองเมล็ดข้าวไว้ในลานนวดข้าว เป็นรูปกรวยคว่ำ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า กุ้มข้าวก่อนจะนำข้าวขึ้นเก็บไว้ในยุ้งฉาง ชาวบ้านจะทำบุญขวัญข้าว โดยนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็นและถวายภัตตาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น เลี้ยงอาหารเพื่อนบ้านที่ไปร่วมพิธี ต่อจากนั้นจึงนำน้ำมนต์ไปพรมกองข้าวและ ที่นา เพื่อให้เจ้าของนาจะได้อยู่อย่างเป็นสุข ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ปีต่อไปข้าวกล้านาจะงอกงามและได้ผลดี ต่อจากนั้นจึงขนข้าวใส่ยุ้งฉาง เจ้าของนา บางคนอาจจะประกอบพิธีสู่ขวัญเล้า หรือยุ้งข้าวเพิ่มขึ้นอีก บางครั้งไม่สามารถทำบุญคูณลานได้เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ดี การจัดงานบุญคูนลานในปัจจุบันของชาวจังหวัดอำนาจเจริญ จัดในช่วงเดือนมกราคม โดยจังหวัดได้กำหนดจัดงานประเพณีบุญคูนลานจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจ เนื่องจากจังหวัดอำนาจเจริญ มีสินค้าส่งออกมากที่สุดคือ ข้าว ซึ่งข้าวจังหวัดอำนาจเจริญมีคุณภาพ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดข้าวในระดับประเทศ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๑ เป็น ข้าวหอมมะลิ ชั้นดี ในการจัดงานประเพณีมีพิธีทางศาสนาตามแบบเดิม และมีการเพิ่มศิลปะการการแสดง แสง สี เสียง การสัมมนาเกี่ยวกับวิถีชีวิตข้าวกับชาวนาเลี้ยงโลก การแสดงวิถีชีวิตชาวนา พิธีกรรมการทำนา และผลิตภัณฑ์จากข้าว จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง โดยประชาชนมีส่วนร่วมการจัดงานทุกคน

เดือนสาม บุญข้าวจี่
ตรงกับช่วงเทศกาลวันมาฆบูชา ชาวบ้าน นำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วมาปั้นเป็นก้อน ให้มีขนาดประมาณไข่เป็ดฟองใหญ่ ทาเกลือแล้วเอาไม้เสียบอย่างไฟพลิกกลับไปมาจนผิวข้าวจี่กลายเป็นสีเหลือง ชาวบ้านต่างพากันนำข้าวจี่ไปวัด หลังจากที่พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์แล้วต่อจากนั้นจึงตักบาตรด้วยข้าวจี่ กล่าวคำถวายข้าวจี่ แล้วนำข้าวจี่ถวายพระพร้อมกับอาหารอื่น ปัจจุบันได้รวมบุญมาฆบูชาไว้ในบุญข้าวจี่ด้วย 

          เดือนสี่ บุญผะเหวด หรือบุญมหาชาติ
การทำบุญผะเหวดเป็นการประสานความร่วมมือกับหมู่บ้านจากหมู่บ้านอื่นมาร่วมงานด้วย กิจกรรมหลักของบุญผะเหวด คือ การนิมนต์พระอุปคุตมาประดิษฐานที่หอพระอุปคุตในตอนเช้า ตอนบ่ายมีพิธีอัญเชิญแห่พระเวสสันดร และพระนางมัทรีเข้าวัด ช่วงค่ำพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ กลางคืนเทศน์เรื่อง พระมาลัยหมื่นพระมาลัยแสน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระมาลัยไปเยี่ยมนรก ต่อจากนั้นจึงเทศน์สังกาศ วันที่สองจะมีเทศน์มหาชาติตลอดวัน เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาว่าการเทศน์มหาชาตินั้นจะต้องเทศน์ให้จบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ภายในวันเดียว จึงจะได้อานิสงส์มาก บางท้องถิ่นจะมีการแห่ข้าวพันก้อน ก่อนฟังเทศน์มหาชาติ ในวันที่สอง ซึ่งจะ มีการทำพิธีแห่ข้าวพันก้อน ตั้งแต่เวลา ๐๓.๐๐ น. โดยชาวบ้านจะมีผู้นำทำพิธีแต่งชุดขาว แห่ข้าวไปตามซุ้มธงทิว จำนวน ๘ ทิศ รอบโบสถ์ โดยเดินเวียนทั้งหมด ๓ รอบ 

           เดือนห้า บุญสงกรานต์
 เป็นทำบุญเฉลิมฉลองปีใหม่ตามคติโบราณ ซึ่งจัดให้มีพร้อมกันทั่วประเทศ โดยทำบุญสงกรานต์ในวันที่ ๑๓-๑๔ เมษายน กิจกรรมหลักของบุญสงกรานต์ คือการสรงน้ำพระพุทธรูปที่วัด สรงน้ำคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาวเล่นสาดน้ำกัน (หรือนิยมเรียกว่า ไปเนา”) ขนทรายเข้าวัด ก่อพระเจดีย์ทราย บูชาพระเจดีย์ทราย และแห่ข้าวพันก้อน ในเมืองจะทำบุญสงกรานต์เพียง ๓ วัน คือวันที่ ๑๓ ๑๕ เมษายน ส่วนในชนบทจะสรงน้ำพระพุทธรูปต่อไปอีกจนถึงวันเพ็ญเดือน ๖ จึงเสร็จสิ้นพิธีสงกรานต์ และก่อนที่พิธีสงกรานต์จะสิ้นลง ชาวบ้านจะทำพิธีแห่ดอกไม้รอบบ้าน ก่อพระเจดีย์ทรายไว้ตามทางสามแพร่งรอบหมู่บ้าน ไปรวมกัน เรียกว่า ค้ำโพธิ์ค้ำไฮ และ ปักธงเฉลียงไว้ตามกองทราย

          เดือนหก บุญบั้งไฟ
เป็นพิธีกรรมขอฝนจากแถน โดยทำพิธีบูชาอารักษ์หลักเมือง เพื่อให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ให้ชาวบ้านได้ทำนา อย่างเต็มที่ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข กิจกรรมหลักของบุญบั้งไฟ การแห่บั้งไฟ การประกวดและแข่งขันบั้งไฟ การเล่นกลองตุ้ม การเส็งกลองกิ่ง การหดสรงพระภิกษุหรือสามเณรที่เห็นว่าเป็นผู้มีคุณธรรม การบวชนาค วันสุดท้ายเป็นการจุดบั้งไฟ บางพื้นที่จะทำบุญบั้งไฟ ทุก ๆ ๓ ปี ปีใดไม่ทำบุญบั้งไฟก็จะทำเฉพาะบุญเดือนหก คือ บุญวันวิสาขบูชา

          เดือนเจ็ด บุญซำฮะ
ทำบุญชำฮะ ซำฮะ หมายความว่า ชำระ หรือล้าง เป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งอัปมงคลให้ออกจากหมู่บ้าน เพื่อชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข พ้นจากภัยต่าง ๆ โดยชาวบ้านจะสร้างประรำพิธีขึ้น ในหมู่บ้าน ผูกต้นกล้วยติดกับเสาประรำทั้งสี่มุมจัดทำอาสนสงฆ์ เตรียมเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ด้ายสายสิญจน์ น้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน (ข้อมือ) เครื่องไทยทาน กรวด ทราย หลักไม้ไผ่ ๘ หลัก ตอนเย็นนิมนต์พระมาสวดมนต์ ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเช้า ทำพิธี ๓ คืน เช้าวันสุดท้ายถวายสังฆทาน ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ คนเฒ่าคนแก่ผูกแขนให้ชาวบ้าน หว่านกรวดทรายให้ทั่วหมู่บ้าน แล้วขึงด้ายสายสิญจน์ให้รอบหมู่บ้าน เอาหลัก ๘ ทิศไปตอกไว้ตามทิศทั้งแปดของหมู่บ้าน ชาวบ้านจะนำสิ่งปฏิกูล ไปทิ้งนอกบ้านบางแห่งจะทำบุญซำฮะในเดือนสาม โดยเลือกวันขึ้น ๑๔- ๑๕ ค่ำ

          เดือนแปด บุญเข้าพรรษา
ซึ่งเป็นพิธีที่ให้พระภิกษุ และสามเณรอยู่ประจำที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่งตลอดสามเดือน คือเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ทำบุญเข้าพรรษาถือเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หรือวันอาสาฬหบูชาโดยชาวบ้านจะถวายภัตตาหารเช้าและภัตตาหารเพล พร้อมทั้งเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นตลอดทั้ง ๓ เดือน แด่พระสงฆ์ ได้แก่ ไตรจีวร ยารักษาโรค เทียน ตะเกียง น้ำมัน นอกจากนั้นยังมีการถวายต้นเทียน บางท้องที่นำขี้ผึ้งมาหล่อเป็น ต้นเทียนขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งลวดลายที่สวยงาม แล้วแห่ไปถวายพระ ที่วัด อาจจะมีการถวายผ้าอาบน้ำฝนหรือปัจจัยด้วย หลังจากนั้นพระสงฆ์จะเทศนา ๑ กัณฑ์ จังหวัดอำนาจเจริญ ได้จัดประเพณี ไหว้พระ ๙ วัด เสริมอำนาจบารมีที่อำนาจเจริญ



เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรต หรือญาติมิตร ที่ล่วงลับไปแล้ว ข้าวประดับดิน คือ ข้าวและอาหารหวานคาว หมากพลู และบุหรี่ ชาวบ้านจะนำสิ่งของดังกล่าวใส่กระทงแล้วนำไปวางตามที่ต่างๆ ในเขต ลานวัด เช่น ตามรั้ว ต้นไม้ หรือตามพื้นดิน การทำบุญข้าวประดับดินจะจัดขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ โดยชาวบ้านจะลุกขึ้นแต่เช้ามืดประมาณ ๓ ๕ นาฬิกา แล้วนำกระทงข้าวประดับดินไปวางไว้ตามที่เห็นว่าสมควร เมื่อวางกระทงเสร็จแล้วจะจุดธูปเทียนบอกกล่าวให้เปรตหรือผู้ล่างลับไปแล้วมารับส่วนบุญ การนำกระทงไปวางที่ต่างๆต้องทำให้เสร็จก่อนรุ่งเช้า เพราะเชื่อว่าเปรตจะท่องเที่ยวเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น เมื่อถึงเวลารุ่งเช้าก็จะทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์สมาทานศีล ฟังเทศน์ และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ล่วงลับ

          เดือนสิบ บุญข้าวสาก
ข้าวสาก คือ สลากภัต เป็นการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์โดยวิธี จับสลาก เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ซึ่งเคยเป็นญาติผู้รักใคร่นับถือ โดยจะจัดงานขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ตอนเช้ามืดของวันงานชาวบ้านจะเตรียมอาหารที่จะทำเป็นสลากภัตแล้วนำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปถวายพระและสามเณร พอใกล้เวลาเพลจึงนำอาหารที่เตรียมไว้สำหรับทำเป็นสลากภัตไปวัด ชาวบ้านจะนำสลากที่มีชื่อพระสงฆ์และสามเณร ไปถวายพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น นำข้าวสลากภัตไปวางไว้ตามบริเวณวัด แล้วจุดธูปเทียนบอกกล่าวให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วมารับอาหาร และผลบุญที่อุทิศไปให้ มีการฟังเทศน์และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำอาหารไปเลี้ยงผีตาแฮก ณ ที่นาของตน

           เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา
ชาวบ้านจะจัดงานในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตอนเช้ามีการตักบาตรหรือตักบาตรเทโว ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสามเณร บางท้องที่มีการกวนข้าวทิพย์ถวายเป็นพิเศษ มีการรับศีล ฟังเทศน์ ตอนค่ำมีการจุดประทีปโคมไฟในบริเวณวัดและหน้าบ้าน ในชนบทจะเอารวงข้าวที่เพิ่งผลิ เรียกว่า ข้าวน้ำนมทำเป็นดอกไม้บูชา กลางคืน มีมหรสพ ท้องถิ่นที่อยู่ใกล้แม่น้ำ เช่น อำเภอชานุมาน จะจัดให้มีการแข่งเรือ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า การส่วงเฮือ นอกจากนี้ประชาชนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนิยมมาร่วมแข่งเรือในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

           เดือนสิบสอง บุญกฐิน

การทำบุญกฐิน คือการถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ที่ผ่านการจำพรรษาแล้ว มีระยะเวลากฐิน หรือกรานกฐิน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ในการทำบุญกฐินนั้นเจ้าภาพจะต้องจองวัด และกำหนดวัดทอดกฐินไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเวลาเข้าพรรษา พร้อมทั้งเตรียมผ้าไตรจีวร อัฐบริขารอื่นๆ และเครื่องไทยทาน เจ้าภาพจะแจ้งข่าวการทำบุญกฐินให้ญาติมิตรทราบ กลางคืนก่อนวันทอดกฐินจะมีมหรสพฉลององค์กฐินอย่างสนุกสนาน วันรุ่งขึ้นก็แห่องค์กฐินไปวัด แห่เวียนประทักษิณหรือเวียนขวารอบโบสถ์ สามรอบ แล้วจึงทำพิธีถวายผ้ากฐินพร้อมทั้งบริวารแด่พระสงฆ์ 

เขตการปกครอง

การปกครอง
จังหวัดอำนาจเจริญแบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ คือ
1. อำเภอเมืองจังหวัดอำนาจเจริญ 19 ตำบล
2. อำเภอชานุมาน 5 ตำบล
3. อำเภอปทุมราชวงศา 7 ตำบล
4. อำเภอพนา 4 ตำบล
5. อำเภอเสนางคนิคม 6 ตำบล
6. อำเภอหัวตะพาน 8 ตำบล
7. อำเภอลืออำนาจ 7 ตำบล
รวม 56 ตำบล 590 หมู่บ้าน การปกครองท้องถิ่นมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง  

เทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตำบล 7 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 55 แห่ง สภาตำบล  1 แห่ง



สถานที่ท่องเที่ยว

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอำนาจเจริญที่น่าสนใจ

หมู่บ้านหมอลำ หนองปลาค้าว อำเภอเมือง จ.อำนาจเจริญ
เป็น หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของอำนาจเจริญ ตั้งอยู่ที่ตำบลปลาค้าว อำเภอเมือง เป็นชุมชนที่ก่อตั้งมาประมาณ 200 ปี ประชากรมีเชื้อสายภูไท เป็นหมู่บ้านที่มีคณะหมอลำมากที่สุดในประเทศไทย


         


วัดโพธิ์ศิลา อำเภอลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ
ตั้ง อยู่ที่บ้านเปือยหัวดง ตำบลเปือย อำเภอลืออำนาจ สิ่งที่น่าสนใจในวัดคือใบเสมาสมัยทวาราวดีขนาดใหญ่ สร้างจากหินทรายขาว อายุประมาณ 1,000 ปี ราว พ.ศ. 1,200-1,300

อ้างอิงรูปจาก http://thai.tourismthailand.org

ศูนย์ศิลปาชีพบ้านสร้างถ่อ อำเภอหัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ
ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 5 กิโลเมตร มีถนนลาดยางเข้าถึง เป็นศูนย์ผลิตและฝึกอบรมงานด้านหัตถกรรมพื้นบ้านหลายประเภท เช่น การทอผ้า และการเจียรไนพลอย เป็นต้น นักท่องเที่ยวสามารถชมวิธีการผลิตและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ด้วย



อ้างอิงรูปจาก http://www.thaitambon.com


อุทยานดงลิงดอนเจ้าปู่ อำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ
เป็นพื้นที่ป่าเบญจพรรณกว่า 200 ไร่ ซึ่งประชาชนท้องถิ่นสงวนรักษาไว้เป็นดอนปู่ตา มีศาลเจ้าปู่ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวบ้านและเป็นที่อาศัยของลิงจำนวนมาก





วัดไชยาติการาม อำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ
ตั้ง อยู่ที่บ้านโพนเมือง ตำบลไม้กลอน วัดนี้มีพระพุทธรูปสำริดประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัยสูง 55 เซนติเมตร จัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปศิลปะลาวสกุลช่างเวียงจันทน์ เปรียบเทียบได้กับพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ระเบียงหอพระแก้วเมืองเวียง จันทน์และพระพุทธรูปที่วัดวิชุล เมืองหลวงพระบาง ซึ่งมีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงพุทธศตวรรษที่ 23



ทิวทัศน์ริมฝั่งโขง อำเภอชานุมาน จ.อำนาจเจริญ
อำเภอ ชานุมานมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงเป็นระยะทางประมาณ 38 กิโลเมตร ทำให้มีลักษณะทางธรรมชาติและทัศนียภาพของบรรยากาศสองฟากฝั่งโขงที่งดงามน่า ประทับใจ


 อ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน อำเภอเมือง จ.อำนาจเจริญ
อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระมงคลมิ่งเมือง เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญทางด้านเกษตรและประมง พร้อมทั้งยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มีลมพัดเย็นสบาย ริมอ่างเก็บน้ำเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทหลายแห่ง 


สวนเกษตรชิตสกนต์ อำเภอเมือง จ.อำนาจเจริญ
ตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับชิตสกนธ์รีสอร์ท เป็นสวนเกษตรประเภทไม้ดอกไม้ประดับซึ่งมีหลายประเภทและที่มีชื่อเสียงได้แก่ สวนดอกดาวเรือง นักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมสวนฯ สามารถร่วมกิจกรรมทางการเกษตรของสวนฯ ได้




พุทธอุทยานและพระมงคลมิ่งเมือง อำเภอเมือง จ.อำนาจเจริญ

ตั้ง อยู่ที่เขาดานพระบาท ห่างจากตัวเมืองไปทางด้านเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณวัดเป็นหินดานธรรมชาติร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เป็น พุทธอุทยานส่วนพระมงคลมิ่งเมือง 

ศูนย์จำหน่ายหัตถกรรมบ้านคำพระ อำเภอหัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ
ตั้งอยู่ที่บ้านคำพระ ริมทางหลวงสายอำเภอหัวตะพาน-อำนาจเจริญ ห่างจากที่ว่าการอำเภอหัวตะพานประมาณ 2 กิโลเมตร

วัดถ้ำแสงเพชร อำเภอเมือง จ.อำนาจเจริญ
ตั้งอยู่บนถนนสายอำนาจเจริญ-เขมราฐ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 18 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตามทางขึ้นเขาเข้าไปอีก


วัดพระเหลาเทพนิมิตร อำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ
ตั้งอยู่ที่อำเภอพนา บนทางหลวงหมายเลข 2134 ห่างจากตัวอำเภอพนาประมาณ 2 กิโลเมตร พระอุโบสถของวัดมีรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีพระประธานคือ พระเหลาเทพนิมิตร” 






วิดีโอเเนะนำ ไหว้พระ 9 วัด จังหวัดอำนาจเจริญ